สวัสดีครับ เปิดปี 2011 กับ 2BeSHOP Version ใหม่ ก็ได้โอกาสเขียนบทความใหม่ๆ เพื่อ Share ให้เพื่อนๆได้มีความรู้เพิ่มเติมกันมากขึ้นเช่นเคยนะครับ พอผมขาย Server ไปพักนึง ก็เริ่มมีคำถามมามากมาย คำถามนึงที่คนถามกันบ่อยๆว่า ทำไมผมต้องใช้ Blade ด้วย ในเมื่อ Rack ก็ดีอยู่แล้ว เออ นั้นสิ นั้นก็เป็นคำถามที่ผมเคยถาม IBM / HP ไปเหมือนกัน สมัยที่ผมเรียนรู้ Blade ใหม่ๆ แล้วก็กำลังคิดว่าจะเปลี่ยน Server ของบริษัททั้งหมด 10 ตัวมาเป็น Blade เลยใช้เวลามากเลยในการศึกษามัน ตั้งแต่เข้า Training เข้าไปดู Demo เข้าไปลองเล่น อ่ะเรามาดูกันว่าทำไมต้อง Blade กันดีกว่า
สมัยก่อนดั่งเดิม เราก็มักใช้ Server ตั้งๆ กัน ภาษาชาวบ้าน แต่ทางการก็คือ Tower กัน แต่พอองค์กรหลายองค์กรในโลกเริ่มใช้ Server กัน มันเริ่มมาถึงจุดที่ว่า Server ตั้งหลายๆตัวมันเยอะเกินไปล่ะ ก็เลยจัดระเบียบเข้ามาสู่ Rack ก็ทำให้ 1 ตู้ขนาด 42u ก็ใส่กันเข้าไป 42 เครื่อง เอาจริงๆก็ไม่ถึง เพราะมี Switch อีกอะไรอีก พอคราวนี้ ก็เริ่มคิดค้นกันมานานล่ะ ตั้งแต่ปี 2001 ถ้าจำไม่ผิด ใครจะเริ่มก่อนก็ช่างมัน เพราะก็เถียงกันไปมาระหว่าง 2 brand ว่าฉันเริ่มก่อน ฉันเริ่มก่อน เอาเป็นว่ามีทั้งคู่ล่ะ ทั้ง HP / IBM ก็เริ่มมองว่า เฮ้ย 1 ตู้ 42u มันต้องใส่ server มากกว่านี้ เพราะเราใส่ 42 เครื่องไม่ได้ล่ะ ไหนจะ Switch ไหนจะ KVM ไหนจะต้องมีสาย LAN 2 เส้น Power อีก 2 เส้น โอ้ย เยอะไปหมด KVM อีก ก็เลยเกิดเทคโนโลยี่ที่เรียกว่า Blade ขึ้นมา ที่ช่วยตอบโจทย์ที่ว่า อยากให้สายไฟน้อยลง บริหารจากส่วนกลาง Switch จับยัดเข้าไป KVM จับยัดเข้าไป ก็เลยทำให้ 42u 1 ตู้ใส่ได้ 84 เครื่อง โอ้ อลังการไหมนั้น
แล้วมันต่าง Rack ยังไง
คำถาม Classic มาก คำตอบคือไม่ต่างเลย ในการใช้งาน เพราะมันก็คือ Server ตัวนึง มันไม่ได้ Cluster กัน มันไม่ได้พ่วงกัน เพียงแต่มันจับมาอยู่ด้วยกันใช้ Resource เดียวกันที่ Server พึงจะใช้ร่วมกันได้ เช่น Power Supply , FAN ,Media (DVD) ,USB Port สิ่งเหล่านี้ ต้องยอมรับว่ากินไฟ 1 ตัว 1 ชุด ตอนใช้ Rack คราวนี้มันก็จะกลายเป็น 14 ตัวใช้ 1 ชุด ใช้ด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ก็ทำให้ประหยัดไฟมากขึ้น คำถามต่อไปคือ แล้ว Blade Server เหลืออะไรข้างในเนียะ ก็เหลือแค่ Mainboard / CPU / Ram / Disk ก็แค่นั้น ก็จะเจอคำถามต่อ
Blade Server ไม่ร้อนเหรอไม่มีพัดลม
ก็ต้องบอกว่าร้อนครับ 5555 เป็นคำตอบที่ Brand ไม่ชอบ แต่ก็ไม่มาก ถ้าเทียบกับ Rack ที่ Full Function ดังนั้นมันก็ต้องการแอร์ และ การระบายอากาศที่ดีครับ แต่ถ้าอยู่ในห้อง Data Center หรือห้องแอร์ก็สบายๆครับ เท่าที่เคยดูทดสอบ มันก็รองรับอุตหภูมิได้ระดับ 36 องศาเลย สำหรับอุตหภูมิหน้าเครื่องนะ ปกติแอร์เราก็ปรับกัน 25 ก็สบายอยู่แล้ว
จัดการยากไหมล่ะ Blade เนียะ
จัดการง่ายครับ เพราะว่ามันเป็นการรวมเอาสิ่งต่างๆเข้าไปในตู้ Blade นั้นคือ Switch Module , SAN Switch , KVM Switch ดังนั้นใครไม่เคยใข้ KVM ก็จะได้ใช้กันตอนนี้นี่แหละ รวมถึง Power Supply ด้วย ดังนั้นมันจะดีแค่ไหน หากเราเปลี่ยน Power Supply แล้วทุก Server เราได้ใช้ของใหม่หมด ไม่ต้องมานับว่า ตัวนี้ซื้อวันไหน จะเปลี่ยนเมื่อไรดี จะเสียยัง ทยอยกันเสียเข้าไป แล้วจะซือ Sparepart จากไหน ตกรุ่นไปแล้ว Power Supply เหลือลูกเดียว อีกลูกซื้อมาแพงมาก เครื่องไม่เสีย ทำไงดี แต่ก็กลัวลูกเดียวที่สำรองไว้ 5 ปีจะเสีย ก็ต้องทิ้งเครื่องกันไป พวกนี้จะเลิกหมด เพราะว่าพอเราเปลี่ยน ทุกเครื่องได้ของใหม่หมด หรือ Switch เริ่มต้นซื้อธรรมดามา อีกหน่อยพอมีเงินซื้อ CISCO มาก็ได้ใช้กันหมดเลย KVM ก็มีอับเดทฟีเจอร์ใหม่ๆมากขึ้น ก็ไม่ต้องถอยใหม่ ก็ถือว่าช่วยเรื่อง M/A ได้ดีกว่า หากเรามีการเปลี่ยนอุปกรณ์ Server เราก็จะได้ใช้ของใหม่ตามไปด้วย
ดีขนาดนั้น มีข้อแย่บ้างไหม
มีครับ ก็อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้า มันร้อนกว่า ดังนั้นก็ต้องอยู่ที่ flow แอร์ดีๆ กับ สอง เป็นการผูกขาด Brand เพราะว่าคุณต้องลงทุนซื้อ ตู้ Blade ของแต่ละยี่ห้อมา หากซื้อเครื่อง ก็นั้นแหละครับ ก็ต้องซื้อยี่ห้อนั้น คงไม่สามารถซื้อ Blade Server IBM ไปใส่ตู้ Blade Enclosure HP ได้ มันจะไม่เหมือนกัน สิ่งนี้คือความเสี่ยง แต่สำหรับคนที่มีใจรัก Brand แต่ละ Brand อยู่แล้วก็ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้ เพราะอย่างไร ท่านก็ซื้อ Brand นั้นอยู่แล้ว ก็เป็นการลงทุนระยะยาว
Network จะพอเหรอ 1G ในตู้ระดับ 14 เครื่อง
อันนีสบายมากครับ เพราะเขามีเทคโนโลยี่ Switch ออกมา เมื่อให้วิ่งภายในกันได้ระดับ 64Gbps หรือเรียกกันว่า Virtual LAN นั้นทำให้คุณแบ่งความสำคัญของ Server แต่ละตัวได้ ว่าจะให้เครื่องไหนวิ่งเท่าไร ถ้าให้เทพก็ใช้ Infiniband กันไปเลย 10Gbps อันนี้ชั้นเทพของจริง ก็ไม่ต้องห่วงเรื่อง Network ครับ ของ HP ก็จะมีเรียกว่า Flex-10 ก็วิ่งกันได้ 64Gbps เลย แบ่งกันเป็นท่อๆได้เลย สบายมาก
|
|