ตอนเริ่มเขียนบทความนี้ ใช้คำว่า PC แต่รู้สึกว่าทุกวันนี้ อุปกรณ์พวกนี้ไม่ว่าจะเป็น PC / Notebook / Workstation / Tablet มันก็คือ Device ตัวนึงที่เราไว้ใช้ทำงาน หรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ดังนั้นเลยใช้คำว่า Device น่าจะเหมาะสมที่สุดในเวลานี้

            ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่จะหาอุปกรณ์สักอย่างหนึ่งมาทำงาน เพราะมีออกมาให้เลือกหลากหลายมาก บางคนซื้อ iPad ไปแทน Notebook ตัวเองก็มี หรือบางคนไม่อยากถือ iPad ล่ะบอกว่าหนักไปใช้ Galaxy Note แทนก็มี แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ทำอะไรบ้างมากกว่า เพื่อจะหาสิ่งที่ตรงกับ Life Style เรามากที่สุด

            ก่อนอื่นผมขอ Category กลุ่มการทำงานก่อนดีกว่า หากเราแบ่งกลุ่มไปที่ Life Style ก็จะดูไปได้หลากหลายอีก เพราะนักเดินทาง ที่ชอบพกพา บางคนอาจจะชอบเล็ก บางคนอาจจะชอบครบถ้วน บางคนก็อาจจะยอมพกหนักได้ ทำให้เลยคิดว่ากลุ่มที่น่าจะเหมาะสมที่สุดในการเลือก Device คู่ใจน่าจะเป็นการเน้นการทำงานแต่ละอย่างมากกว่า
  1. E-Mail Style : สำหรับผู้ที่เป็นนักธุรกิจ เสพติดอีเมล์เป็นชีวิต หรือผู้ที่ต้องตอบอีเมล์ตลอดเวลา ก็ต้องการการเช็คอีเมล์ที่ฉับไว รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา ผู้ที่มี Life Style แบบนี้ สิ่งที่เหมาะกับเขาก็คือ Blackberry เพราะพกพาง่าย พิมพ์ง่าย แต่สำหรับ PC/Notebook ที่เป็น Full Option นั้นก็ทำได้อยู่แล้วไม่ว่ารุ่นไหน ยี่ห้อไหน แต่อาจจะไม่เหมาะกับ Device พวกที่เป็น Virtual Keyboard ทั้งหลาย เพราะจะทำให้การตอบอีเมล์นั้นทำได้อย่างล่าช้า
  2. Operation Style : ผู้ที่ทำงานเอกสารไม่ว่าจะ Word / Excel / Powerpoint จริงๆกลุ่มนี้จะมีเยอะ และมักจะมาสอบถามประจำว่าใช้เครื่อง Spec ไหนดี สิ่งที่แนะนำได้คือ Spec ไหนก็ได้ เพราะงานประเภทนี้ไม่ได้กิน CPU เยอะ แต่ก็จะใช้ Memory เยอะบ้าง เวลา Excel File ใหญ่จริงๆ หรือเปิดหลายๆหน้าพร้อมกัน ให้เน้นไปที่ Memory เป็นหลัก
  3. Financial/Stock Style : กลุ่มนี้มักจะดูตัวเลข ดูหน้าจอหลายๆหน้าจอเปรียบเทียบกัน กลุ่มนี้ปกติถ้าหนักมากจริงๆ มักจะใช้ Workstation หรือ PC ที่ออกได้มากกว่า 1 จอ เพื่อเพิ่ม Productivity ในการทำงาน และมองหา Spec CPU ที่สูงหน่อยก็ดี อย่างน้อยๆก็ Core i3 ถ้าได้ระดับ i5 ขึ้นไปก็เจ๋งสุด และควรมี Memory สูงสุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่างานด้านบัญชี งานด้านตัวเลขนั้น มักจะอยู่กับ Excel ที่มีขนาดใหญ่ รวมไปถึงการ Access Database ที่มีขนาดใหญ่ในการคำนวณงบ หรือ คำนวณต่างๆ
  4. Programmer Style : กลุ่มนี้ บอกได้เลยว่า ไม่ต้องใช้ Spec สูงมาก เพราะว่างาน Programming นั้นไม่ได้เปิดหลายหน้าจอมาก จะเปิดโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง แต่ก็มีโอกาสที่ใช้ความเร็วสูง คือพวกที่ทำพวก Virtual Studio .NET แต่ถ้า Web Programmer ก็ใช้งานไม่มากเท่าไร ถ้าเน้นพกพาก็ซื้อ Notebook สัก 12-13 นิ้วก็กำลังดี
  5. Technical Support : กลุ่มนี้จะใช้งานหนักหน่อย หากเป็นพวกมือเทพ และใช้ Notebook เป็นหลัก เพราะว่าต้องพกพาไปช่วยเหลือคนใช้งานคอม ที่ตกทุกข์ได้ยาก น๊าน บางคนต้องอัดแรมถึง 8GB เพื่อสามารถสร้างเครื่องจำลองในเครื่องตัวเอง และในเครื่องก็มักจะมีโปรแกรมพิสดารค่อนข้างมาก เพื่อจะทดสอบ ทำนั้นทำนี่ ก็กลุ่มนี้เน้น Spec เครื่องสูง พกพาได้ บางทีอาจจะมีทั้ง Notebook และ Tablet ก็เป็นไปได้
  6. Graphic Design : กลุ่มนี้ถือว่า Hardcore สุด หากทำ 3D ด้วยนี่ เครื่องที่เหมาะกับเขาที่สุดก็คงหนีไม่พ้น Workstation เพราะว่าต้อง Randering ภาพด้วย ดังนั้น CPU ต้องแรงสุด แรมต้องเยอะสุด ไม่งั้นเวลาเปิดภาพขนาดใหญ่โต จะเกิดอาการค้าง และหนักหนาก็คือ อารมย์ค้าง ก็จะพลอยไม่ได้งานไป
  7. Manager Style : กลุ่มนี้จะถือว่าเป็นกลุ่มที่นะ มีเงิน ต้องการของดีสุด ดูทันสมัย บาง เบา เฉียบ มองดูแล้ว Look ได้ ก็อันนี้ก็ตามกระเป๋าเลยครับ No Commend เพราะว่าจริงๆจะใช้งานรุ่นไหนก็ได้ ด้วยเนื้องานจะวางแผน บริหารจัดการ มากกว่า จึงไม่ได้ใช้ Spec มาก แต่จะเน้นภาพลักษณ์มากกว่า เพราะว่าพกไปไหนเป็นหน้าเป็นตา ต่อบริษัท


            ทั้งนี้ ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่กลุ่มไหน ผมคิดว่างาน Computer นั้น ไม่ว่าเครื่อง Spec นั้นก็ตอบสนองได้ทุก Life Style มันอยู่ที่ความพึงพอใจ และ การลงทุนมากกว่า โดยส่วนตัวในบริษัท เราก็มักจะลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ เพราะ หากเราคิดดูว่าคน 1 คน หากใช้คอมพิวเตอร์ที่ช้า 1 วัน ที่ทำงาน 8 ชั่วโมง เขาจะเสียเวลาไปสักเท่าไร กับการคลิกแล้วรอ หรือการสลับหน้าจอไปมา ระหว่างโปรแกรม 2-3 โปรแกรมที่เปิดอยู่ จึงไม่แปลกที่หน่วยงานใหญ่ๆอย่าง Google หรือหลายๆองค์กรในต่างประเทศ จะให้พนักงานทุกคนใช้ PC 2 หน้าจอ เป็นอย่างน้อย หรือมีอุปกรณ์ Tablet แจกกันอย่างถ้วนหน้า ก็พกกันหมด ทั้ง PC / Notebook / Tablet / BB เอากันให้ตายกันไปข้างนึง

            อย่างไรก็ตาม ก็อยู่ที่บนความพอเพียง หากต้องกู้มาซื้อ และคนที่นำไปใช้ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ก็เสียเงินเปล่า แต่หากคนใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้เครื่องนึงจะเยียบ 4-5 หมื่น แต่งานที่ออกมาจากมันนั้น มูลค่าคงมากกว่ามันมากนัก ก็อยู่ที่เราจะ Optimize ได้มากน้อยขนาดไหน ระหว่างเงินลงทุน กับ ผลของงานที่ออกมา อย่าลืมว่า Device ออกมาเพื่ออำนวยความสะดวก และ มาเป็นทาสเราในการทำงาน อย่าตกเป็นทาสของ Device ด้วยความโก๋ หรู ดูดี คนมองแล้วโอ้สุดยอด หล่อ สวย เก๋ ถ้าใช้อันนี้ สิ่งเหล่านี้มันเป็นผลตามมาของบางอุปกรณ์ แต่มองให้ลึกถึงแก่น ถึงการทำงาน มองเหตุผลที่ Need มากกว่า Want เราก็จะได้ Device ที่ดีและเหมาะกับเราที่สุด

บทความเปรียบเทียบ เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว จากประสบการณ์ที่ได้พบเจอ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างจากบางคนได้
Home Product Service Solution Partner / Affiliate Support About Us Community
Privacy Policy Terms of Service Copyright/IP Policy